ทำอย่างไรเพื่อให้เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายถูกลง ?

1. ระบุชื่อผู้ขับขี่

การระบุชื่อผู้ขับขี่ 1-2 ท่านนั้นจะทำให้เบี้ยประกันรถของท่านนั้นถูกลงไปอีก 5-20% แต่ว่าข้อเสียคือการขับขี่ของรถนั้นจะแปลว่า รถนั้นจะถูกขับได้แค่ชื่อของผู้ที่ระบุไว้ใบหน้าตารางกรมธรรม์เท่านั้น โดยปกติแล้วหากท่านมีคนขับมากกว่า 1-2 คนทางเราจะไม่แนะนำให้ระบุผู้ขับขี่

2. ส่วนลดประวัติดี

ส่วนลดประวัติดีนั้นจะได้ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันนั้นไม่ได้มีเคลมมาก่อนในปีที่ผ่านมา แต่เงื่อนไขตรงนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทประกันนั้นเป็นคนกำหนด เนื่องจากรูปแบบแต่ละกรมธรรม์นั้นจะต่างกันไป

3. ติดกล้องหน้ารถ

การติดกล้องหน้ารถนั้นจะทำให้เบี้ยประกันนั้นถูกลงมาอีก 5% แต่ว่าเงื่อนไขนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทประกันนั้นเป็นคนกำหนด บางบริษัทประกันหรือบางแผนประกันนั้นจะรวมส่วนลดตรงนี้มาให้แล้ว หรือบางแผนนั้นจะสามารถขอส่วนลดการติดกล้องหน้ารถเพิ่มเติมได้

4. กำหนดค่าเสียหายส่วนแรก

การใส่ค่าเสียหายส่วนแรกนั้นจะทำให้เบี้ยประกันนั้นถูกลงมามากพอสมควร การที่มีค่าเสียหายส่วนแรกจะมีข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือจะทำให้เบี้ยประกันนั้นถูกกว่าเดิมเยอะ แต่แปลว่าการเคลมนั้น ทุกๆกรณีที่เป็นเคลมฝ่ายผิด ทางผู้เอาประกันนั้นจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกทันทีในการเคลม

5. ส่วนลดกลุ่ม

หากท่านทำประกันรถมากกว่า 2-3 คันขึ้นไป ท่านจะได้ส่วนลดกลุ่ม ซึ่งจะเป็นส่วนลดที่ท่านจะได้ก็ต่อเมื่อ มีรถมากกว่า 2-3 คันและนำมาทำประกันภัยภายใต้ชื่อผู้เอาประกันภัยคนเดียวกัน

6. เป็นสมาชิกศรีกรุงโบรคเกอร์

การที่ท่านสมัครเป็นสมาชิกศรีกรุงโบรคเกอร์ ที่เป็นพันธมิตรกับกว่า 35 บริษัทประกันภัยชั้นนำของประเทศไทย จะทำให้ซื้อประกันได้ในราคาทุน ถือเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้มาก เช่น ค่าประกันรถยนต์ ค่าประกันอัคคีภัย ค่าประกันอุบัติเหตุ ค่าประกันสุขภาพรายปี และประกันอื่นๆอีกมากมาก

ซึ่งการสมัครสมาชิกศรีกรุงโบรคเกอร์ สามารถสมัครได้ง่ายๆ ทางไลน์ @skbroker

ปรึกษาประกันภัยได้ที่ 083-9690676

มือใหม่ออนไลน์

  • ประเทศไทยมีผู้ใช้งาน Facebook มากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก อยู่ที่ 47 ล้านบัญชี (จากประชากรทั้งหมดเกือบ 70 ล้านคน)
  • คนไทยใช้งาน Instagram มากเป็นอันดับ 17 ของโลก อยู่ที่ 12 ล้านคน เพิ่มจากไตรมาสที่แล้ว 700,000 คน
  • คนไทยใช้งานทวิตเตอร์กว่า 6.6 ล้านบัญชี มากเป็นอันดับ 15 ของโลก

ข้อมูลนี้ชี้ว่า คนไทยใช้โซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากและใช้กันหลายช่องทาง ดังนั้น การโฆษณาสินค้าหรือประชาสัมพันธ์แบรนด์ให้เป็นที่รับรูบนโลกออนไลน์จึงควรมีโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในเครื่องมือร่วมด้วย

แต่ควรใช้เพื่อสร้างการรับรู้สินค้าและแบรนด์เป็นหลักเพื่อพาลูกค้ามาสู่แพลตฟอร์มเว็บไซต์ของธุรกิจ เพื่อลดการพึ่งพาโซเชียลมีเดียด้วยในเวลาเดียวกัน 

เพราะถึงแม้การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อธุรกิจจะเป็นเรื่องที่ดีและควรทำอย่างยิ่ง แต่แพลตฟอร์มออนไลน์ทุกอย่างมีแนวโน้มปรับระบบหรืออัลกอริทึ่ม (Algorithm) ตลอดเวลา โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่ปรับบ่อยและควบคุมได้ยากกว่าเว็บไซต์ 

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ การใช้โซเชียลมีเดียเหมือนการเช่าบ้านหรืออยู่บ้านคนอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการอะไรได้เต็มที่ ด้วยเหตุนี้แบรนด์ธุรกิจไม่น้อยจึงพยายามใช้วิธีโฆษณาบนโซเชียลฯ ดึงให้ลูกค้าเข้ามาชมเนื้อหาต่อบนเว็บไซต์ให้มากที่สุด

สำหรับสื่อที่ผู้ใช้บนโลกออนไลน์นิยมเสพมากที่สุดแน่นอนว่า “วิดีโอ” ยังครองอันดับหนึ่งอยู่

โดยมีตัวเลขถึง 90%

ในขณะที่วิดีโอประเภท Vlog ตามมาด้วยตัวเลข 52% นอกจากนั้นก็จะเป็นพวก Music Streaming, Online Radio และ Podcast ตามลำดับ อย่างที่เราน่าจะเริ่มเห็นกระแสมาสักระยะแล้วว่า Streaming มาแรงแซงทุกรูปแบบคอนเทนต์เนื่องจากมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย สามารถรับชม-ฟัง ได้ทุกที่ทุกเวลา และยังสามารถยกเลิกบริการตอนไหนก็ได้หากไม่ต้องการใช้บริการแล้ว ดูได้จากตัวเลขที่มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตรับชมรายการหรือภาพยนต์ต่างๆ ผ่านบริการ Streaming กว่า 54% หรือ Music Streaming กว่า 37% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่น่าจับตา (ข้อมูลจาก Hootsuite)